|
|
|
|
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
(๒๔๕๖ - ปัจจุบัน)
วัดป่าบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี |
|
|
|
|
|
นามเดิม |
|
บัว โลหิตดี |
|
|
เกิด |
|
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ |
|
|
บ้านเกิด |
|
ที่บ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี |
|
|
บิดามารดา |
|
นายทองดี และนางแพง โลหิตดี |
|
|
พี่น้อง |
|
ทั้งหมด ๑๖ คน |
|
อุปสมบท |
|
อายุได้ ๒๑ ปี เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ วัดโยธานิมิตร อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี |
|
|
|
โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ |
|
|
เรื่องราวในชีวิต |
|
เมื่ออายุ ได้ ๒๑ ปี บิดามารดาขอร้องให้ท่านบวชเรียน เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณตามประเพณี |
|
|
|
|
ในที่สุดท่านก็ได้ตัดสินใจบวช ครั้นบวชแล้วท่านได้ศึกษาพระพุทธประวัติ และประวัติพระอรหันตสาวก จนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ท่านตั้งใจศึกษาพระปริยัติธรรมเสียก่อน เพราะถ้าไม่ศึกษาจะไม่เข้าใจในการปฏิบัติ ท่านใช้เวลาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมเป็นเวลา ๙ ปี ก็สำเร็จพระปริยัติธรรม ๓ ประโยค พร้อมกับสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก จากนั้นจิตใจของท่านก็มุ่งออกไปปฏิบัติด้านเดียวจึงเดินทางมุ่งหน้าไปหาพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ซึ่งในขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าโนนวิเวศ จังหวัดอุดรธานี แต่ไม่ได้พบกับพระอาจารย์มั่น ท่านจึงไปพำนักอยู่ที่ทุ่งสว่าง จังหวัดหนองคาย เป็นเวลา ๓ เดือนกว่า พอถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านก็ได้ออกเดินทางไปจังหวัดสกลนคร และได้พบกับพระอาจารย์มั่น ที่บ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร ขณะกำลังเดินจงกลมเวลาใกล้ค่ำ ภายหลังจากได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่น ซึ่งท่านได้กล่าวยืนยันว่า มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้เสมอ และให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติได้จริง นับแต่นั้นมา ท่านก็ได้รับตัวเป็นศิษย์ และอยู่ฝึกกรรมฐานกับพระอาจารย์มั่น อย่างเด็ดเดี่ยว จิตมุ่งอยู่กับสมาธิภาวนาเท่านั้น รวมเวลาที่ท่านอยู่กับพระอาจารย์มั่นทั้งหมดเป็นเวลา ๘ ปี จวบจนถึงพระอาจารย์มั่นมรณภาพ ในพี พ.ศ. ๒๔๙๒ ครั้นเสร็จงานพระราชทาน เพลิงศพพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ๑ พรรษา แล้วจำพรรษาอยู่วัดห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร อีก ๔ พรรษา แล้วจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ๑ พรรษา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ท่านได้ทราบข่าวว่าโยมมารดาของท่านป่วย ท่านได้เดินทางกลับมาตุภูมิที่บ้านตาด เพื่อดูแลโยมมารดา ชาวบ้านนิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นหลังอยู่ที่นั้น เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งทางใจให้ชาวบ้าน โดยได้บริจาคที่ดินประมาณ ๑๖๓ ไร่ เพื่อสร้างวัด ท่านได้พิจารณาเห็นว่า โยมมารดาของท่านแก่ชรามากแล้ว สมควรที่จะได้อยู่ดูแล เป็นการตอบแทนบุญคุณของมารดาด้วย ท่านจึงตกลงใจรับนิมนต์ และ เริ่มสร้างวัดนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ตั้งชื่อว่า วัดป่าบ้านตาด จนถึงปัจจุบัน |
|
|
ปัจจุบัน |
|
พ.ศ.๒๕๕๐ ท่านพำนัก ณ วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี |
|
ข้อมูลพิเศษ |
|
* ท่านได้ทำผ้าป่าช่วยชาติ เพื่อนำเงินเข้าสู่ท้องพระคลังหลวง |
ธรรมโอวาท |
|
|
|
|
....กาลใดที่โลกเกิดความยุ่งเหยิงไม่สงบ กาลนั้นพึงทราบว่าโลกเริ่มขาดความสมบูรณ์ทางศีลธรรม ถ้าไม่รีบปรับปรุงให้ตรงกับทางศีลธรรมแล้ว ไม่นานฤทธิ์ของโลกล้วนๆ จะระเบิดอย่างเต็มที่ แม้ตัวโลกผู้ทรงฤทธิ์เอง ก็ต้องแตกทลายลงทันทีทนอยู่ไม่ได้...
...เมื่อโลกยังต้องการความเจริญอยู่ตราบใด ศีลธรรมจึงจำเป็นสำหรับโลกอยู่ตราบนั้น ใครจะคัดค้านหลักความจริง คือศีลธรรมอันเป็นสิ่งที่มีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหนๆไม่ได้ คำว่าศีลธรรมในหลักธรรมชาตินั้น ไม่ต้องไปขอรับมาจากพระหรือจากใคร ตามวัดหรือตามสถานที่ต่างๆแล้ว จึงจะเกิดเป็นศีลธรรมขึ้นมา แม้เพียงแต่ผู้รักษาความถูกความดีงามประจำนิสัย แล้วประพฤติแต่สิ่งถูกและดีงามแก่ตนและแก่ผู้อื่น เว้นการประพฤติสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความถูกความดีงามของตน เพียงเท่านั้น ก็พอจะทราบได้แล้วว่า ผู้นั้นมีศีลธรรมขึ้นในตัวแล้ว...
...การปฏิบัติภาวนา เคยสอนหมู่เพื่อน ให้มีความแม่นยำต่องานการของตน วิธีการตั้งรากฐานจิตใจให้มีความสงบไม่ได้ เนื่องจากเราจับจด ไม่จริงไม่จังกับงานของตัวเองที่ทำ ถ้าจริงจังแล้วต้องได้ ไม่สงสัย เช่นอย่างให้ฝึกหัดภาวนา คำบริกรรมเป็นเครื่องกำกับจิต เพื่อจะตั้งรากฐานของจิต ให้มีความสงบขึ้นไปโดยลำดับ ๆ นี้ จะตั้งได้ด้วย คำบริกรรมภาวนา ถ้าปล่อยให้จิตกำหนดรู้เฉย ๆ นี้ไม่ได้เรื่องนะ รู้มันก็รู้ในเวลาตั้งใจ พอเผลอแพล็บเดียว ออกรู้สิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสไปแล้ว มันก็กลายเป็นกิเลสไปหมดล่ะซี...
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|